วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2551

โลกใบใหม่

“มหาวิยาลัยเกษตรศาสตร์” โลกใบใหม่ของผม โลกใบนี้แตกต่างไปจากโลกใบเดิมของผมมาก โลกใบเดิมของผมมีแค่ตึกเพียงไม่กี่ตึกเบียดเสียดกันอยู่ ผู้คนก็น้อย แต่โลกใบใหม่นี้ เป็นโลกที่ใหญ่โต กว้างขวาง มีตึกเรียนมากมาย ทำให้ผมต้องเรียนรู้ทุกอย่างใหม่ทั้งหมด ซึ่งตัวผมเองก็ได้ใช้ชีวิตบนโลกใบใหม่ใบนี้มาร่วม 4 ปีแล้ว
ชีวิตของผมบนโลกใบใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อผมได้สอบเอนทรานซ์เข้ามาในคณะเศรษฐศาสตร์ ภาควิชาสหกรณ์ ซึ่งผมขอเรียกว่า ”บ้าน” ในบ้านหลังนี้ผมได้รับความช่วยเหลือจากพี่ๆมากมาย ทำให้ในช่วงแรกที่เข้ามาอยู่ ในบ้านหลังนี้จึงไม่รู้สึกโดดเดี่ยวแม้แต่น้อย
“กิจกรรมรับน้อง” เปรียบได้กับการต้อนรับเข้าสู่บ้านหลังนี้อย่างอบอุ่น กิจกรรมนี้จัดเป้ฯประเพณีที่ดีงาม ทำให้ผมได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน แม้จะอายบ้างแต่ก็ทำให้ผมมีความสุขไม่น้อยเลยทีเดียว ได้มีรุ่นพี่คนหนึ่งสั่งให้ผมวิ่งรอบลานหน้าคณะ โดยจะนับ 1-20 ต้องวิ่งให้เสร็จ ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมต้องทำอย่างนี้ แกล้งกันรึป่าว แต่เมื่อวิ่งเสร็จพี่เค้าก็บอกเหตุผลว่า ที่สั่งให้ทำอย่างนี้ก็เพราะว่า “การที่เราจะเรียนในมหาวิทยาลัย4ปีนั้น ก็เทียบได้กับการนับ1-20 เพราะทุกวินาทีมีแต่การแข่งขัน แม้เหนื่อยก็ต้องทน ต้องสู้ต่อไป อย่าท้อถอย เพราะเวลามันเดินหน้าไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ตั้งใจหรือออกนอกเส้นทางแม้แต่นิดเดียว ก็ไม่ทีทางที่จะไปถึงความสำเร็จได้”
เวลาเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว ตามที่รุ่นพี่ของผมได้บอกไว้ตอนนั้น ชีวิตของผมยังคงดำเนินอยู่บนโลกใบใหม่ใบ และบ้านที่แสนจะอบอุ่นของผมเรื่อยมา ณ ตอนนี้ผมเป็นนิสิตชั้นปีที่สี่ ของภาควิชาสหกรณ์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แล้ว ผมรู้สึกได้ว่า การแข่งขันกับตัวเอง เพื่อไขว่คว้าความสำเร็จ บนโลกใบใหม่ใบนี้ ใกล้จะเสร็จสิ้นลงแล้ว แต่อย่างไรก็ตามผมจะไม่มีประมาทเพราะสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ ผมขอสัญญากับตัวเองว่า แม้เหลือเวลาอีกเพียงแค่เสี้ยววินาที ผมก็จะไม่ออกนอกเส้นทาง เพราะผมคิดว่า “ ความสำเร็จกับความล้มเหลว อยู่ใกล้เพียงเศษเสี้ยวของความรู้สึก ” ดังนั้นแล้วผมจึงมุมานะ พากเพียร บากบั่น และอดทนในการเรียนต่อไป ถึงแม้ผมจะทราบดีว่า “ความสำเร็จอยู่ตรงหน้าผมแล้ว”
ผมขอขอบคุณ “มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์” โลกใบใหม่ของผม โลกที่ให้ผมได้เก็บเกี่ยว และสั่งสมประสบการณ์ที่ทำให้ผมเติบโตและแข็งแกร่งทางความคิด โลกที่ผลักดันและส่งเสริมให้ชีวิตผมได้มายอยู่ตรงหน้าความสำเร็จอย่าง ณ วันนี้ และ " โลกใบนี้ยังคงเป็นโลกใบใหม่ของผมเสมอ เพราะผมได้เรียนรู้ ลิ้มลอง และสัมผัสสิ่งแปลกใหม่บนพื้นฐานความดีงาม บนโลกใบนี้อยู่เสมอ”

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2551

มีคนถามผมว่า “ผมรักมหาวิทยาลัยแห่งนี้มากแค่ไหน”

ภาพของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน ที่สายตาทุกคู่สะท้อนภาพอันเป็นประสบการณ์ร่วมกันนั้น คงจะเป็นภาพของรั้วสีเขียวที่โอบล้อมไปด้วยต้นไม้นานาชนิด ซึ้งภายในนั้นประกอบด้วยพื้นที่ส่วนที่เป็นอาคารเรียนและสำนักงาน ทำให้สถานที่แห่งนี้มีความร่มรื่นเหมาะแก่การเรียนการสอน รวมทั้งการประกอบกิจกรรมต่างๆ แต่ภาพที่หัวใจของผมได้สะท้อนภาพออกมานั้น ภาพของมหาวิทยาเกษตรศาสตร์วิทยาเขตบางเขนแห่งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่สถานศึกษาที่น่าเรียนและร่มรื่นเท่านั้น แต่ทุกๆที่เต็มไปด้วยภาพความทรงจำ ที่น่าประทับใจอีกมากมาย

ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้มีโอกาสขึ้นชื่อว่าเป็น “นิสิต” ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แห่งนี้ เพราะมหาวิทยาลัยแห่งนี้สอนให้ผมได้มองโลกในมุมที่แปลกใหม่ และกว้างขึ้น ผมได้เรียนรู้ถึงการเข้าสังคมที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ซึ่งนั่นก็คือ “การรับน้องใหม่” เรียกได้ว่าเป็น “การละลายพฤติกรรม” ให้ผมและเพื่อนนิสิตได้หล่อหลอมกันเป็นหนึ่งเดียว ให้ผมได้รู้จักความอ่อนน้อมอย่างจริงใจในการเคารพผู้อาวุโสกว่าไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่หรือครูอาจารย์ รวมทั้งให้ผมได้เป็นผู้มีความอดทนและมีระเบียบวินัยไม่ว่าจะทำการใดๆก็ตาม แม้ในตอนแรกมันจะยังขัดกับความรู้สึกลึกๆอยู่บ้าง แต่ ณ ตอนนี้หัวใจและร่างกายของผมแข็งแกร่งพอที่จะเผชิญสิ่งที่รอผมอยู่ไม่ว่าจะเลวร้ายหรือไม่ในวันข้างหน้า

สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งอันเรียกได้ว่าเป็น “หัวใจหลัก” ในการใช้ชีวิตมหาวิทยาลัยของผมก็คือ
“การเรียน” ซึ่งเป็นทั้งความหวังของผม และความหวังของใครอีกหลายๆคน ที่จะนำไปต่อยอดสู่ความสำเร็จในอนาคต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แห่งนี้เป็นมหาวิทยาลัยที่พร้อมไปด้วยบุคลากรผู้สอนที่มีคุณภาพ อีกทั้งสื่อการสอนที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง ทำให้ผมคิดว่า “ผมโชคดีที่ได้มีโอกาสเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้” และผมก็สัญญากับตัวเองว่า “ผมสั่งสมสิ่งดีๆไว้ให้มากที่สุด ผมจะตั้งใจเรียน และผมจะต้องเป็นผู้ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง ”

สายลมโชยอ่อนๆพัดเอาใบไม้ร่วงหล่นมาสัมผัสร่างของผม เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งที่ผมนั่งผ่อนคลายหรือทำกิจกรรมต่างๆอยู่ใต้ร่มเงาไม้ในรั้วนนทรี อันเป็นชื่อเรียกของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่หลายคนเรียนกันจนติดปาก ทำให้ผมสัมผัสได้ถึง “ความร่มรื่นที่มอบความสุขให้กับผม” ผมคิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่วิเศษ เพราะว่าสถาบันแห่งนี้เป็นทั้งที่มอบวิชาความรู้ มอบมิตรภาพ และมอบความร่มเย็นเป็นสุข

ถ้าจะถามผมว่า “ผมรักและภูมิใจในมหาวิทยาลัยแห่งนี้มากแค่ไหน” ผมขอตอบว่า “ผมตอบไม่ได้” เหตุผลของผมก็คือ “ความรักและความภาคภูมิใจที่ผมมีต่อมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์นั้น สูงค่าเกินกว่าที่จะวัดกันด้วยระดับของความรู้สึก” คุณคงจะเข้าใจตรงกันกับผมถ้าหากหัวใจของคุณได้สัมผัสถึงสิ่งที่ดีที่สุดสิ่งหนึ่งมาแล้ว